......เห็นแล้วต้องอธิฐานว่าถ้าชาติหน้าได้เกิดเป็นผี ขอมาเป็นผีที่บาหลีเถอะ อิ่มทั้งวันเลย

....การเสียชีวิตของคน 202 คนที่เกิดจากการก่อการร้ายด้วยระเบิดเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม ........

เที่ยวบาหลี....หมื่นต้น ๆ

รับอาสาเจ้านายไปสำรวจการเดินทางไปบาหลี และดูโรงแรมที่พักว่าปลอดภัยดีหรือไม่ เพราะลูกเจ้านายอยากไปเที่ยวกันตอนปิดเทอมจึงมีเรื่องย่อ ๆ พอเล่าสู่กันฟังดังนี้

1)บาหลีเป็นเกาะของอินโดนีเซีย ได้ชื่อว่าเป็นเกาะสวาทหาดสวรรค์ของนักท่องเที่ยวมาเป็นเวลาหลายร้อยปี ปัจจุบันสามารถเดินทางไปเที่ยวด้วยสายการบินหลายสาย แต่ผมเลือกใช้บริการของแอร์เอเชีย เพราะราคาถูกและสะดวกที่สุดมีเที่ยวบินมากกว่าสายการบินอื่น บินจากสุวรรณภูมิไปกัวลาลัมเปอร์วันละ 7 เที่ยว และจากกัวลาลัมเปอร์ไปบาหลีอีกวันละ 2 เที่ยว

2)ผมบินจากสุวรรณภูมิ สองชั่วโมงก็ถึงสนามบินกัวลาลัมเปอร์ ตอนอยู่บนเครื่องก็รอให้พนักงานเอาแบบ ฟอร์มตรวจคนเข้าเมืองมาให้กรอก ปรากฏว่ามาเลย์เขายกเลิกการใช้แล้ว เพราะเปลี่ยนมาเป็น scan PASSPORT แทน ซึ่งเป็นหลักฐานที่ดีกว่าและไม่เสียเวลามาก ไม่วุ่นวายสำหรับผู้ไม่เข้าใจภาษาอังกฤษ แต่มาแปลกใจ ก็ตอนที่เครื่องบินร่อนลงที่สนามบินกัวลาลัมเปอร์ เพราะเครื่องค่อย ๆ ย่องไปจอดบริเวณอาคารสังกะสีชั้นเดียว ทาสีขาว นึกว่ามีปัญหาอะไรเสียอีก ต่อมาจึงรู้ว่าเป็น อาคารจอดของโลคอส โดยเขาไม่ให้ไปยุ่งกับตัวอาคารใหญ่ทันสมัย ไม่รู้ว่าเขาเหม็นกลิ่นสาบของคนจนหรือเปล่าจึงแยกให้ไปอยู่ปลายไร่ปลายนา อาคารที่ว่าเป็นอาคารชั้นเดียว คล้ายสถานี รถทัวร์หมอชิดเก่าของเรา อาคารนี้อยู่ห่างจากอาคารหลักถึง 20 กิโล เขาใช้งบประมาณ พันกว่าล้านบาทสร้างเสร็จเมื่อต้นปี 2006 ซึ่งหากเมืองไทยเราจะเอาแบบบ้าง ผมคงจะต้องขอประท้วงแน่ ๆ เพราะสนามบินสุวรรณภูมิผมก็เป็นคนออกเงินเสียภาษีให้สร้างเหมือนกัน

3)ลงจากเครื่องก็ถูกต้อนให้เข้าไปอาคารเลย ด้านในมีบริการร้านอาหาร (แม็คโด และข้าวแกง) ธนาคาร และบูธฝากของ เสียค่าฝาก 10-40 ริงกิตต่อชิ้น/วัน แล้วแต่ขนาดของกระเป๋า ผมใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที ก็ออกมาอยู่นอกสนามบิน

4)ด้านหน้าเห็นรถบัสที่จะพาไปส่ง ในเมืองกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 70 กิโล เสียค่าโดยสารคนละ 8 ริงกิตเท่านั้น มีให้บริการสองบริษัท 8 ริงกิต และ 9 ริงกิต ไม่รู้ว่ารถที่เก็บ9ริงกิตใครจะนั่ง เพราะจอดใกล้ ๆ กัน และสภาพรถก็ใหม่เหมือนกัน ต่างกันแค่สี ถือว่าเป็นบริการพิเศษสำหรับ Low cost terminal แห่งนี้ เพราะปกติแล้วถ้าเครื่องบินจอดที่ Terminal หลัก การจะเข้าเมืองเสียค่ารถไฟด่วนเข้าไปในเมืองครั้งละ 35 ริงกิต

5)เนื่องจากว่าผมต้องต่อเครื่องไปบาหลี มีเวลาเหลือ 3 ชั่วโมง ก็เลยนั่งรถบัสไป TERMINAL หลัก ที่อยู่ในบริเวณสนามบินเดียวกันแต่คนละมุ่มห่างกัน 20 กิโล ก็เลยนั่งรถเมล์ไปเที่ยว เสียเงินคนละ 1.5 ริงกิต ใช้เวลา เพียง 15 นาทีเท่านั้น เพราะถนนโล่งตลอดมีรถเข้ามาใช้ไม่กี่คัน เลยมีโอกาสไปเดินที่ TERMINAL หลัก ชั่วโมงกว่า ๆ สภาพก็เหมือน ๆ กับสุวรรณภูมิไม่มีผิด เพียงแต่เพดาน ของเราทำด้วยผ้าใบ แต่ของเขาทำด้วยไม้อย่างดี และห้องน้ำเขาไม่จอแจเหมือนของเรา ไม่อยากพูดมาก เดี๋ยวจะถูกกล่าวหาว่าไม่รักชาติ

6)กลับมาที่ TERMINAL airasia อีกครั้งเพื่อนั่ง airasia ต่อไปบาหลี โดยต้องนั่งอีก สองชั่วโมงครึ่ง การตรวจคนออกเมืองก็ทำง่าย ๆ เอาพาสปอร์มาดม ๆ แล้วก็คืนให้ ส่วนชาวมาเลย์เขาจับให้ SCAN นิ้วมือด้วย ผู้โดยสารเที่ยวบินนี้ค่อนข้างมาก ก็เลยมีการแย่งกันวิ่งไปขึ้นเครื่อง มั่วไปหมด เราไปคนเดียวก็ไม่อยากไปแย่งกับใคร เพราะปกติแล้วเดินขึ้นทีหลังก็มักจะเลือกนั่งแถวหน้า ๆ ถึงแม้นจะนั่งริมทางเดินก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะเที่ยวบินของ air asia นั่งตรงทางเดินเลือกซื้อของได้ง่ายกว่า โดยเฉพาะระยะหลังนี้ได้ขี่ AIRBUS 320ป้ายแดง ที่นั่งกว้างสบายดี

เครื่องออกจากสนามบิน KL ก็ไม่ได้ยินภาษาไทยอีกเลย ต้องคอยฟังภาษาอังกฤษ มีการแจกฟอร์มตรวจคนเข้าเมืองของอินโดนีเซีย ให้มากรอกเล่น ใช้เวลานั่งอ่านหนังสือธรรมะของท่านพุทธทาส เรื่องผัสสะ จนจบ และท่องบทกวี สอนนักเรียนของท่านจนขึ้นใจ ทั้ง ๆ ปกติเรื่องความรักและครอบครัวเราชอบอ่านของท่านอาจารย์ทูล มากกว่า เพราะท่านมีเมียมีลูกแล้ว ถึงมาบวช จึงเทศน์ได้เรื่อง แต่ก็ขอถ่ายทอดไว้ดังนี้ครับ

เป็นนักเรียน เพียรศึกษา อย่าริรัก

ถูกศรปัก เรียนไม่ได้ ดั่งใจหมาย

สมาธิ จะหักเหี้ยน เตียนมลาย

ถึงเรียนได้ ก็ไม่ดี เพราะผีกวน

7)ถึงเกาะบาหลี เครื่องบินไปลงที่สนามบิน เดนพลาซ่า ซึ่งเป็นอำเภอหลักของเกาะบาหลี ส่วนเขตที่นักท่องเที่ยวพักกันเรียกว่า คูตา เป็นเหมือนตำบลของเดนพลาซ่า

สนามบินบาหลีสวยงามดี แต่มีที่ติอยู่นิด ตรงที่

1)เอาปลามาทรมานไว้ในตู้โชว์เล็ก ๆ ในห้องน้ำชาย ไม่ได้แอบเข้าไปดูในห้องน้ำหญิงว่ามีหรือเปล่า กลัวเขาจะหาว่าบ้ากาม

2)เขาจัดห้องสูบบุหรี่แบบประจานพวกขี้ยาทั้งหลาย เพราะดูเหมือนกับว่าจะถูกขังไว้ในกรงแก้ว ขนาดกว้างและยาวด้านละ 2 เมตร คนทั่วไปสามารถเดินดูได้รอบห้อง ไปด้อม ๆ อยู่หลายนาที ไม่เห็นมีคนเข้าไปเลย กรงนี้ตั้งไว้กลางห้องโถงเลย เล่นแบบนี้พวกขี้ยาคงหดหมด

เคยมีคนเล่าให้ฟังว่าเวลานั่งเครื่องไปบาหลี ให้นั่งริมหน้าต่าง จะได้เห็นภูเขาไฟ แต่เที่ยวบินนี้ ผมออกจาก KL เย็นแล้ว จึงมองไม่เห็นอะไร และตนเองก็ตั่งใจจะนั่งรถไปดูให้เห็น ตัวเป็น ๆ กับตาอยู่แล้ว เลยไม่ว่าอะไร แต่ถ้าใครจะจองก็ควรจองเที่ยวบินกลางวันนะ จะได้กำไรจากการได้เห็นภูเขาไฟเป็น ๆ

8)ถึงสนามบินบาหลี ซึ่งมีชื่อเป็นทางการว่า DENPASAR เกือบสองทุ่มที่นี่เจอปัญหานิดหน่อย เพราะเรายืนเข้าแถวเพื่อตรวจ หนังสือเดินทาง ในช่องผู้โดยสารต่างประเทศ ยืนอยู่เป็นนานกว่าจะถึงคิวเรา แต่พอถึงเจ้าหน้าที่ไล่ให้ไปเข้าช่อง ชาวอินโด ก็เลยเดินเกาหัวไปเข้าคิวใหม่ เป็นคนสุดท้าย นึกกลัว ๆ อยู่เหมือนกันว่าจะถูกเจ้าหน้าที่ไถเงิน เหมือนที่เคยเจอที่จาร์การต้าเพราะที่นั่นไม่เอาเงินใส่ในPASS PORT 2 หมื่นรูเปียอาจจะเกิดปัญหาได้ แต่ที่บาหลีนี้เรียบร้อยดี

ผ่านจากจุดตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรก็ได้ยินเสียงเรียก PAPA PAPA เต็มไปหมด เราเลยมีลูกเป็นคนบาหลีหลายสิบคนทันที พวกเขาเป็นคนขับรถแท็กซี่มารอจับลูกค้าในสนามบิน เราโบกมือทักทายเขา แต่ตาก็กวาดหาจุดแลกเงินก่อน เพราะต้องการหาเงินอินโดมาจ่ายเป็นค่ารถและค่าข้าว ที่บูธแลกเงินวันนั้นอัตรา 1 ดอลล่าแลกได้ 9000 รูเปี๊ย ก็เลยเอาใบละ 100 ดอลล่าซึ่งมีอยู่เพียง 3 ใบ ออกมา แลก 1ใบ ได้มา 9 แสน และได้ความรู้ว่าใบละ 100 ดอลล่า ที่ออกมาก่อนปี 2003 เขาไม่ใช้กัน ใครมีก็รีบเอาไปเผาส่งให้ญาติโยมใช้ก็แล้วกัน หรือจะเอาไปใส่ตู้ทำบุญตามวัดก็ได้ เรื่องเงินดอลล่านี้ปลอดภัยที่สุดคือใบ 5 และ 10 ส่วนใบละ 50 ใบละ 100 ไปเที่ยวไหนไม่ควรพกไปด้วยใช้ค่อนข้างยาก โดยเฉพาะพม่า ปวดหัวมาก เขามักจะรับเฉพาะใบละ 5 และ 10 คนรับบอกว่า ไม่กล้ารับ เพราะเวลามันมีปัญหา หมายถึงค่าแรงเขาเป็นปีทีเดียว

ผมออกมาคุยกับคนขับแท็กซี่ ว่าจะไปโรงแรม BA-KUNG-SA-RI รายแรกเรียก 2 แสน รายต่อมาเรียก 1 แสน รายที่สามเรียก 5 หมื่น ผมเลยเดินไปที่บูธที่มีชาวบ้านเขาเข้าคิวกัน ปรากฏว่าเสีย 4 หมื่น มีใบเสร็จไปเบิกกับเจ้านายได้ รถใช้เวลาวิ่งไม่ถึง 20 นาทีก็ถึง โรงแรม BA-KUNG-SA-RI เป็นโรงแรมขนาด 100 ห้อง เสียค่าห้องคืนละ 30 ดอลล่า พร้อมอาหารเช้า ค่าห้องในเมืองท่องเที่ยวเอาแน่ไม่ได้ เขาจะขึ้นลงตามอารมณ์ และราคาจองล่วงหน้ากับเดินเข้าไปให้เขาตีหัวก็ต่างกัน แต่ผมชอบเดินเข้าไปถามราคามากกว่า เพราะต่อรองได้ถ้ามีความสามารถเฉพาะตัวและหน้า กระเบื้องตราช้าง

9)เอาของไปเก็บในห้องแล้วก็ออกเดินลุยราตรีเลย เดินเลยโรงแรมมาสามร้อยเมตรก็เป็นย่านค้าขาย สภาพเหมือนแถวพัทยาใต้ ที่เหมือนสุด ๆ ก็ตรงที่มีน้องหนูมาขายบริการนวด ทุก ๆ ระยะ 20 เมตร ถามราคาดู เธอเรียก 5 หมื่นเท่านั้น แต่ผมก็ไม่ได้ถามต่อว่านวดอะไรบ้าง เพราะใจจริงอยากออกมาหาอะไรกินมากกว่า เดินอยู่นานกว่าจะเจอร้านอาหาร เจอร้านอาหารไทย ขนาดมาตรฐานอยู่แห่งหนึ่ง อยากจะเข้าไปอุดหนุน แต่กลัวหัวแตก เพราะดูจากภายนอกแล้วรับรองว่าแพงแน่ เลยแวะเข้าไปร้านเล็ก ๆ ใกล้ ๆ กัน มีหลายคนนั่งกินอยู่ ผมใช้นิ้ววิเศษสั่งข้าวเปล่า แกงเนื้อ ไข่ดาว ปลาแห้ง ถั่วลิสง และผักผัด แถมโค๊กมาอีกขวด รวมเป็นเงิน สองหมื่นสี่พัน คิดเป็นเงินไทยแล้ว ประมาณ 80 บาท กินอิ่มแล้วก็เดินให้อาหารย่อยก่อนกลับไปนอนโรงแรม

10)ตื่น 6 โมงเช้าเอาแผนที่มากางดู เพราะต้องการจะไปที่ชายหาด พบว่าสามารถเดินไปได้ง่าย ๆ ด้วยระยะทางประมาณ 1 กม. ก็เลยออกเดินทางไป เคยเห็นชายหาดในรูป ซึ่งปกติจะมีคนเต็มไปหมด แต่ตอนนี้ผมอยู่คนเดียว ตลอดทั้งหาดซึ่งยาวประมาณ 10 กิโล มีผมยืนอยู่คนเดียวครับหัวใจพองโตจริง ๆ ที่มายืนอยู่บนชายหาดหนึ่งในอันดับโลกเพียงคนเดียว เดินสูดหายใจอย่างเต็มปอดประมาณ 1 ชั่วโมงแล้วก็เดินกลับโรงแรม ก่อนจะกลับมองหาห้องน้ำเพื่อลดน้ำหนัก แต่ไม่มี ก็เลยหันหน้าลงทะเล แล้วจัดการเพิ่มความเค็มของน้ำทะเล ไปพอสมควร

11)อาหารเช้าโรงแรมBA-KUNG-SA-RI เขากำหนดให้แขกบันทึกอาหารที่ต้องการบนแบบฟอร์มซึ่งมีให้เลือกไม่กี่อย่าง เพื่อเป็นหลักฐาน จะได้ไม่ต้องมาทะเลาะกัน รวมทั้งไม่ต้องการเห็นลูกค้าต้องเสียสุขภาพที่กินแบบยักษ์แบบมาร ที่มีชื่อเรียกว่าบุฟเฟ่ ทำให้โรงแรมขาดทุน ในห้องอาหารเห็นญี่ปุ่นวัยรุ่นขนาดอายุไม่เกิน 20 มากกว่า 40 คนส่วนใหญ่จะมากันเป็นคู่ ๆ ดูเขาสดชื่นกันดี คงจะเป็นลูก ๆ ของพ่อแม่ที่พอมีอันจะกิน และสามารถส่งลูก ๆ มาทดสอบชีวิตคู่ ก่อนจะไปใช้ชีวิตจริงที่บ้านเมืองเขา

12)กินอาหารเช้าแล้ว ก็ออกมาเดินหน้าโรงแรม มีบรรดาคนขับรถ มาเสนอให้บริการ ประมาณ 10 คน ก็ได้โอกาสหาข้อมูล ซึ่งสรุปได้ดังนี้

1)รถตู้ขนาด 8 ที่นั่ง เริ่มเดินทางจาก 9 โมงเช้ากลับมา 6 โมงเย็นระยะทางประมาณ 300 กม.วันละ 3 แสน

2)ตามข้อ 1 แต่กลับมาตอน บ่าย 3 เพื่อนั่งเล่นที่ชายหาดหรือเดินเที่ยวใกล้โรงแรม วันละ 2 แสน

ส่วนจะไปไหนบ้าง ก็มีให้เลือกมากมาย โดยดูจากโบชัวร์ที่บริการท่องเที่ยวเขาจัด สามารถเที่ยวได้ 5 วันสบาย ๆ แบบพักโรงแรมเดียว ซึ่งนักท่องเที่ยวบางคนก็ชอบที่จะเปลี่ยนไปนอนตามเมืองต่าง ๆ ซึ่งก็คงจะสนุกไปอีกแบบ เพราะเคยเจอแบบหาโรงแรมไม่ได้ ทำให้ต้องนั่งหลับในรถ ซึ่งก็ประหยัดดี

13)จุดสำคัญที่สุดของบาหลี ในเมือง คูตา คืออนุสรณ์สถาน การเสียชีวิตของคน 202 คนที่เกิดจากการก่อการร้ายด้วยระเบิดเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2002 โดยเป็นชาวออสซี่ ถึง 88 คน ใคร ๆ ที่ไปบาหลีก็จะหาโอกาสไปดู โดยมีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า Bali Bomb Monument ตรงข้ามจะมีร้านไอศกรีม ขายดีอยู่เจ้าหนึ่ง แต่ราคาค่อนข้างแพง โคนละ หมื่นห้า ตกแล้วอันละ 50 บาท แพงน่าดู เพราะอันนิดเดียว กลับมากินของ เดลี่ควีนอันละ 9 บาทอร่อยกว่า

14)ผมมีเวลาน้อยก็เลยเลือกเส้นทางไปเมืองอูบุด เพื่อไปวนอุทยานที่มีฝูงลิงหลายร้อยตัว ดู ๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ผมก็ได้เข้าใจคำว่า "ไวอย่างกับลิง" ณ ที่แห่งนี้ เพราะเห็นลิงสาวเดินเข้าไปหาลิงหนุ่มหน้าตาดีตัวหนึ่ง ยังไม่ทันนับถึงสามเลยเจ้าลิงหมุ่มจัดการซะเรียบร้อยแล้วเดินเข้าป่าไป ปล่อยให้เจ้าลิงสาวมองตาละห้อย ไวยิ่งกว่า ไว ไว ควิกที่เคยเป็นข่าวในเมืองไทยหลายร้อยเท่า

ที่อูบุดนี้มีตลาดขายของพื้นเมืองใหญโต และหลายแห่ง งานส่วนใหญ่แฝงไว้ด้วยงานศิลปะมีให้เลือกเต็มไปหมด นอกจากนี้ตามข้างถนนก็มีร้านค้างานศิลป์ต่าง ๆ โดยแบ่งเป็นย่าน ๆ ทำหน้ากากไม้ ผ้าไหม รูปแกะสลัก ภาพวาด รวมทั้ง ของที่จะนำไปแต่งบ้าน ดูทั้งวันก็ไม่เบื่อ

15)ขากลับผมให้คนรถเขาแวะที่ชายหาด SANUR ซึ่งเทียบกับหาดบางแสนของเราแล้ว ของเราดีกว่าหลายเท่า หาดเป็นทรายสีเทา มีโรงแรมและบ้านพักหลายแห่งแวะไปถามค่าห้องของโรงแรมเขาเรียก คืนละ 60 ดอลล่า

16)เช้าวันหนึ่งผมแวะไปที่ตลาดสดของ คูตา ซึ่งอยู่ห่างจากโรงแรมประมาณ 1 กิโล คึกคักมาก ของที่ขายส่วนใหญ่เป็น ดอกไม้และเครื่องประกอบการทำบุญแบบกระทง คนที่นี่เป็นฮินดู ต้องจัดกระทงมีทั้งอาหารและดอกไม้ไปไห้วพระและเจ้าที่เจ้าทางวันละ 1-5 ครั้ง โรงแรมที่ผมพัก เขาจัดเจ้าหน้าที่ไว้สองคนทำหน้าที่เตรียมและถวายกระทงให้เจ้าที่เจ้าทางถึง 35 จุด และถวายวันละ 5 ครั้ง เห็นแล้วต้องอธิฐานว่าถ้าชาติหน้าได้เกิดเป็นผี ขอมาเป็นผีที่บาหลีเถอะ อิ่มทั้งวันเลย

วันสำคัญที่สุดของบาหลีคือวันขึ้นปีใหม่ของฮินดู เขาจะหยุดงานทุกอย่าง สนามบินก็จะปิด ไฟฟ้า ประปาหยุดหมด ทุกคนจะอยู่ในบ้านนอนสวดกันทั้งวัน ใครทำงานจะไม่ได้เกิดเป็นเทวดาในชาติหน้า ปี2008นี้ ตรงกับวันที่ 7 มีนาคม ใครเกิดไปบาหลีตรงกับวันนี้ ก็เตรียมตัวเตรียมใจไว้

17)ภาระกิจการสำรวจโรงแรมและเส้นทางก็จบเพียงเท่านี้ ตอนขากลับออกจากบาหลี ที่สนามบินต้องเสียค่าธรรมเนียมการใช้สนามบินอีก 150,000 รูเปียแต่ก็คุ้มค่า เพราะได้ชมบรรยากาศของสนามบินบาหลีอย่างละเอียด ซึ่งถือว่าสวย และมีการจัดการที่ดีเป็นหน้าเป็นตาและประทับใจของผู้มาเยือน

18)สำหรับผู้สนใจ อยากไปเที่ยวบาหลี อย่างประหยัด คุณสามารถเที่ยวได้ฟรี โดยเข้าไปที่ link ข้างล่าง เป็นการพาเที่ยว แบบ google earth โดยสามารถเริ่มเที่ยวเริ่มจากสนามบินบาหลี ไปตามชายหาด หรือเข้าไปในเมืองได้เลย วิธีนี้เป็นการเที่ยวแบบประหยัดที่สุดครับ

LINK : เที่ยวบาหลีฟรี กับ goolgle earth